Compond
noun คือ คำนามที่เกิดจากการนำคำนามมาขยายคำนาม มักส่งผลให้เกิดความหมายใหม่
คำนาม 2 คำนี้ อาจเขียนติดกัน เว้นวรรค หรือมีเครื่องหมาย –
(hyphen) กั้นระหว่างกลาง ต้องดูตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกัน
แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ ไม่ได้มีกฎแน่นอนว่าจะใช้กันอย่างไร ต้องสังเกตและหมั่นดูตามเจ้าของภาษา
ตัวอย่าง
girlfriend แปลว่า แฟนสาว (โดยมากจะไม่ใช้สื่อถึงเพื่อนผู้หญิง)
traffic light แปลว่า ไฟจราจร
bellboy แปลว่า พนักงานยกกระเป๋าในโรงแรม
sleeping bag (หรือ sleeping-bag) แปลว่า ถุงนอน
walking stick (หรือ walking-stick) แปลว่า ไม้เท้า
แต่เดี๋ยวก่อน นอกจากจะนำนามมาขยายนามแล้ว
ยังมีการเอาบุพบท หรือคำกริยาเข้ามาประกอบได้อีกด้วย เช่น
father-in-law แปลว่า พ่อตา
mother-in-law แปลว่า แม่ยาย
workman แปลว่า กรรมกร
passer-by แปลว่า คนเดินเท้า
by-product แปลว่า ผลพลอยได้
output แปลว่า ผลผลิต
หลักการใช้ compound noun
1. ใช้คำนามด้านหลังเป็นคำหลัก
คำหน้าเป็นคำขยาย
a school bus แปลว่า รถโรงเรียน (เป็นรถ ไม่ใช่โรงเรียน)
a bus driver แปลว่า คนขับรถเมล์ (เป็นคนขับ
ไม่ใช่รถ)
ดังนั้นเมื่อจะเปลี่ยนเป็นพหูพจน์
ให้เปลี่ยนที่คำหลัก ไม่ใช่คำขยาย
a school bus จึงกลายเป็น two school buses
a bus driver จึงกลายเป็น two bus drivers
แต่ยังไงก็ต้องระวังอยู่ดี
เพราะถ้าเมื่อไร compound
noun นั้นมีคำบุพบทประกอบด้วย พี่นุ้ยขอให้พิจารณาดูว่าคำไหนเป็นตัวหลัก
เช่น
a father-in-law กลายเป็น two fathers-in-law
(เปลี่ยน father เป็นพหูพจน์)
(เปลี่ยน father เป็นพหูพจน์)
a mother-in-law กลายเป็น two mothers-in-law
(เปลี่ยน mother เป็นพหูพจน์)
a passer-by กลายเป็น two passers-by (เปลี่ยน passer เป็นพหูพจน์)
อย่างไรก็ตาม
กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น อย่าง compound noun ที่นำหน้าด้วย
man และ woman เวลาเป็นพหูพจน์ให้เปลี่ยนทั้งสองส่วน
เช่น
a man-servant (คนรับใช้ผู้ชาย) กลายเป็น two men-servants
a woman-servant (คนรับใช้ผู้หญิง) กลายเป็น two women-servants
a woman-servant (คนรับใช้ผู้หญิง) กลายเป็น two women-servants
2. compound noun เป็นการนำคำนามมาขยายนาม
โดยปกติเมื่อจะขยายหรือบอกสภาพคำนาม
เราจะใช้คำประเภท adjective
มาวางไว้หน้านามนั้น เช่น
a
wealthy man (ชายผู้ร่ำรวย) a luxurious car (รถที่หรูหรา) ทั้ง wealthy และ
luxurious เป็น adjective
แต่สำหรับ compound noun จะเป็นการนำคำนามมาขยายนาม
และคำนามที่นำมาขยายไว้ด้านหน้าโดยมากจะไม่สามารถทำให้เป็น adjective ได้ เช่น
knowledge management แปลว่า การจัดการความรู้
stock market แปลว่า ตลาดหุ้น
a two-year-old boy แปลว่า เด็กผู้ชายอายุ 2 ขวบ (ให้สังเกตว่า two-year-old ทำหน้าที่เป็นส่วนขยาย มีหน้าที่เหมือน adjective บอกสภาพของคำนาม จึงไม่เติม –s ที่ year)
3. การใช้ compound noun ต้องดูตามที่คนอื่นใช้
ไม่ใช่เรื่องที่คิดเอง สร้างคำเอาเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ a greenhouse effect เป็นศัพท์บัญญัติ แปลว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก
ซึ่งหมายถึง การที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น จนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
จะให้คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาเองก็คงไม่ไหวนะคะ ต้องดูตามสื่อมวลชน
อย่างหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือฟังจากบทสนทนาที่ฝรั่งใช้กัน
4. เมื่อไรใช้ adjective เมื่อไรใช้ compound noun?
อ่านๆ
ไปก็เริ่มเกิดปัญหาว่า เอ๊ะ! ในเมื่อ adjective และนามก็สามารถเป็นตัวขยายได้เหมือนกัน
แล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเมื่อไรจะใช้แบบไหน
พี่นุ้ยว่าอันที่จริงแล้วต้องดูเป็นกรณีไป แต่ก็ยังมีหลักให้พอสังเกตได้ เช่น
education service (บริการทางการศึกษา) เป็น compound noun แต่บางทีก็เห็น educational service (บริการทางการศึกษา)
educational ซึ่งเป็น adjective มาขยายคำนามคือ
service
สรุปว่ามีใช้สองแบบ
แต่จะใช้ในโอกาสที่แตกต่างกัน ลองมาดูตัวอย่างให้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ดีกว่า
The government
provides free education service.
รัฐบาลจัดการศึกษาแบบให้เปล่า
education
service หมายถึง บริการทางการศึกษา
พูดถึงคำนามที่นำมาขยายโดยตรง
The library provides
educational service.
ห้องสมุดให้บริการที่เกี่ยวกับการศึกษา
คือ ห้องสมุดไม่ได้สอนหนังสือเรา แต่อาจให้บริการที่เกี่ยวกับด้านการศึกษา
เช่น คอมพิวเตอร์หรือ อินเทอร์เน็ตให้เราศึกษาหาความรู้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น