กริยาช่วยที่ใช้บ่อย can/could, will/would,
may/might, should, must
กริยาช่วยในภาษาอังกฤษเรียกว่า modal verbs จะตามด้วยกริยาช่อง
1 ที่ไม่ผัน ไม่เติม –s และไม่เปลี่ยนรูป
เช่น
I can swim ฉันว่ายน้ำได้
เมื่อมีกริยาช่วยอยู่แล้ว
สามารถปฏิเสธโดยการเติม not ไป
ด้านหลังได้เลย
ด้านหลังได้เลย
เช่น I cannot swim. สังเกตนะคะว่า cannot ต้องเขียนติดกัน
ไม่ใช่ can not
หากจะตั้งคำถามที่ต้องการคำตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”
(yes/no question) สามารถดึงกริยาช่วยไปวางไว้ด้านหน้าได้เลย
เช่น Can you swim? เธอว่ายน้ำได้ไหม
Can/Could
หลักๆแล้ว can ใช้พูดถึงความสามารถ (ability) อย่างเช่น
Mary can drive a car. เธอสามารถขับรถได้
โดยทั่วไปแล้วน้องๆนักเรียนมักนึกถึง can ในความหมายนี้เท่านั้น
แต่ที่จริงแล้วเรายังสามารถใช้ can พูดถึงความน่าจะเป็น (possibility) การเสนอความช่วยเหลือ (offering) และการขอทั้งขอร้อง (request) และขออนุญาต (permission)อีกด้วย เช่น
บอกความน่าจะเป็น : It can rain today ฝนน่าจะตกนะวันนี้
เสนอความช่วยเหลือ : Can I
give you a ride? ให้ฉันขับรถไปส่งคุณได้ไหม
(สำนวน give someone a ride และ give someone a lift แปลว่าขับรถไปส่ง
นักเรียนที่ไม่ค่อยเตรียมตัวหรือไม่รู้มาก่อนมักจะแปลสำนวนนี้ว่า ให้ฉันพาคุณไปที่ลิฟท์ไหม)
แสดงถึงการขอ
: Can I go with you? (ฉันสามารถไปกับคุณได้ไหม)
คราวนี้มาถึงคราวของ could บ้างแล้ว
หลายๆคนมักนึกถึง could ในแง่ที่เป็น past tense ของ can พูดถึงเหตุการณ์ในอดีต
(past ability) เช่น
(past ability) เช่น
Many years ago, my grandfather could drive a
car.
เมื่อหลายปีที่แล้ว ปู่ของฉันยังสามารถขับรถได้
แต่ขอให้น้องๆเข้าใจว่า could มีความหมายที่กว้างกว่านั้น
ใช้กริยาช่องที่ 2 ของ modal verbs อย่าง could รวมถึง would และ might จะแสดงถึงความห่างเหิน ซึ่งอาจเป็นความห่างในแง่ของเวลา คือเป็นอดีต
ความห่างในแง่ความน่าจะเป็น คือผู้พูดไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นได้
และความห่างในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือกริยาช่องที่ 2 แสดงความสุภาพมากกว่า
เพราะผู้พูดกับผู้ฟังห่างเกินกัน ประโยค
Could I give you a ride? มีความหมายในเชิงเนื้อหาเหมือน Can I give you a ride? ทุกอย่าง คือขอเสนอตัวขับรถไปส่ง
แต่ประโยคที่ใช้ could สุภาพมากกว่า บ่งบอกผู้พูดกับผู้ฟังไม่สนิทกัน
Will/
Would
อย่าเพิ่งลืม will นะคะ
ตัวนี้บอกถึงเหตุการณ์ในอนาคต และยังใช้ในประโยคขอร้องได้ด้วย เช่น
Will you turn down the volume a bit? คุณหรี่เสียงหน่อยได้ไหม
ส่วน would เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ will บ่งบอกถึงอดีต ความสุภาพ
ความเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้น้อย ตัวอย่างเช่น
Would you please play this song every
day?
คุณช่วยเล่นเพลงนี้ทุกวันได้ไหม
คุ้นๆกันรึเปล่าคะ
ประโยคนี้เป็นเพลงของนักร้องคนหนึ่งที่ใช้ would เข้าไปเพื่อให้นุ่มนวลมากขึ้น
เพราะเขาร้องให้ผู้หญิงฟัง
Would you mind if I open the window?
คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะเปิดหน้าต่าง
ประโยคนี้เป็นประโยคขอร้องอย่างสุภาพเพราะพูดกับคนที่ไม่รู้จัก
คุ้นเคย
คุ้นเคย
I would go out tonight, but I have too much to do.
ฉันอาจจะออกไปข้างนอก
แต่ฉันยังมีหลายอย่าง
เหลือเกินที่จะต้องทำ
เหลือเกินที่จะต้องทำ
ผู้พูดไม่มั่นใจว่าจะได้ออกไปข้างนอกเพราะมีงานเยอะ
จนทำให้โอกาสที่จะได้ไปเที่ยวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตอนนี้มาถึงประเด็นที่หลายๆคนสงสัย คือ would เป็นอดีตของ will แต่ will ใช้แสดงอนาคต
แล้วอดีตของอนาคตคืออะไร ก่อนที่จะงงกันไปมากกว่านี้ มาดูตัวอย่างประโยคนี้กันค่ะ
สมมติมีดาราคนหนึ่งพูดว่าเธอจะโกอินเตอร์ไปที่อินเดีย
Mary says: I will go to
แล้วพี่นุ้ยเอาเรื่องนี้มาเล่าให้น้องๆฟังต่อ เนื่องจากเธอได้พูดไปแล้ว
จาก says จึงเปลี่ยนเป็น said จะได้ว่า
Mary said that she would go to
เมื่อข้างหน้าเปลี่ยนจาก say เป็น said ข้างหลังก็ต้องเปลี่ยนจาก will เป็น would เพื่อให้เสมอกัน
May/
Might
may แปลว่า อาจจะ
ใช้บอกความน่าจะเป็น (possibility) เช่น
It may rain tonight. ฝนอาจจะตกคืนนี้ก็ได้
นอกจากนี้ may ยังมีความหมายในเชิงการให้และขออนุญาต (permission) เหมือน can
May I go out? ฉันขอออกไปข้างนอกได้ไหม
You may smoke in this room. คุณสูบบุหรี่ในห้องนี้ได้
ส่วน might เป็นกริยาช่อง
2 ของ may ดังนั้น might สามารถใช้เป็นอดีตของ may เช่น
Mary explained that his decision might be wrong.
เธออธิบายว่าการตัดสินใจของเขาอาจจะผิดก็ได้
might ยังสามารถใช้แสดงความสุภาพและความไม่มั่นใจของผู้พูด อย่างที่พี่นุ้ยบอกแล้วว่า กริยาช่อง 2 ของ modal verbs จะแสดงความห่างในเรื่องเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความน่าจะเป็น มาดูตัวอย่างกันค่ะ
might แสดงความสุภาพ มักใช้ในกรณีขออนุญาต
I wonder whether I might turn off the light.
ฉันสงสัยว่าฉันจะปิดไฟได้ไหม
might แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่ค่อยแน่ใจในการคาดเดาเท่าไรนัก
A: Where is Dan? แดนอยู่ที่ไหนน่ะ
B: He might be in the studio. I am not sure. เขาอาจจะอยู่ในสตูดิโอ ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
จากทั้งสองตัวอย่างจะเห็นว่า might สามารถใช้ในประโยคที่พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันได้
Should
should แปลว่า ควรจะ
ส่วนใหญ่ใช้เมื่อต้องการให้คำแนะนำหรือ
เสนอแนะ เช่น
เสนอแนะ เช่น
You should study hard. You are about to take the entrance examination.
เธอควรจะอ่านหนังสือให้เยอะๆหน่อย
เธอกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วนะ
นอกจาก should เรายังใช้คำว่า ought to และ had better ได้เหมือนกัน
ประโยคข้างบนจึงเขียนได้อีกแบบว่า You ought to/ had better study hard.
เมื่อได้ยินคำว่า had better น้องๆหลายคนอาจนึกถึง would rather สองคำนี้มักทำให้สับสนกันประจำเพราะการออกเสียงที่คล้ายกัน
และทั้งคู่จะตามด้วยกริยาช่อง 1 ไม่ผัน ไม่มีการเติม –s และไม่เปลี่ยนรูป แต่ had better กับ would rather มีความหมายแตกต่างกัน ดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้นะคะ
I had better study, but I would rather go to the sea.
ฉันควรจะเรียนหนังสือ แต่ฉันอยากไปเที่ยวทะเลมากกว่า
would rather หมายถึง อยากจะ จึงเน้นไปที่อารมณ์ของคนพูดว่าอยากทำอะไร
I had better study, but I would rather go to the sea.
ฉันควรจะเรียนหนังสือ แต่ฉันอยากไปเที่ยวทะเลมากกว่า
would rather หมายถึง อยากจะ จึงเน้นไปที่อารมณ์ของคนพูดว่าอยากทำอะไร
แต่ had better หมายถึง
ควรจะ แสดงความสมควรตามเหตุและผล
Must
มาดู modal verb ตัวสุดท้ายกันค่ะ must มีความหมายว่า
ต้อง ใช้พูดถึงหน้าที่ ข้อบังคับ และสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น
Everyone must die. ทุกคนต้องตาย
The soldiers must protect the country.
ทหารต้องรักษาประเทศชาติ
ทหารต้องรักษาประเทศชาติ
แต่ความหมายของ must ไม่ได้มีจำกัดอยู่เท่านั้น
วันนี้เราจะได้เรียนรู้ must ในอีกความหนึ่ง
คือการแสดงความน่าจะเป็นที่ผู้พูดมั่นใจมากๆ เช่น
It must be love. ต้องเป็นความรักแน่ๆ
พอพูดถึง must แล้ว หลายๆคนต้องนึกถึง have/has to ที่แปลว่า จำเป็นต้อง
แต่พี่นุ้ยขอเก็บสองคำนี้ไปอธิบายทีหลังแล้วกันค่ะ ติดตามกันต่อไปนะคะ